ทั่วไป, จิบกาแฟ

Low-Buy/No-Buy: วิธีใช้เงินอย่างมีสติ

Low-Buy และ No-Buy เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้คนควบคุมพฤติกรรมการบริโภคของตัวเอง ลดหนี้ และใช้เงินอย่างมีสติขึ้น …
Low-Buy/No-Buy: วิธีใช้เงินอย่างมีสติ
Share this

Low-Buy และ No-Buy เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้คนควบคุมพฤติกรรมการบริโภคของตัวเอง ลดหนี้ และใช้เงินอย่างมีสติขึ้น

แนวคิด Low-Buy/No-Buy เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงปี 2018-2019 และได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิด การระบาดของ COVID-19 (2020-2021)

Low-Buy คืออะไร?

Low-Buy หมายถึงการลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น แต่ยังคงอนุญาตให้ซื้อของบางอย่างที่จำเป็นหรือมีคุณค่าในชีวิต แนวทางนี้ช่วยให้คนยังสามารถเพลิดเพลินกับการใช้เงินได้ แต่ต้องมีการวางแผนและตัดสินใจอย่างรอบคอบ

ตัวอย่างแนวทาง Low-Buy:

  • ซื้อเสื้อผ้าใหม่ได้ปีละ X ชิ้นเท่านั้น
  • กำหนดงบประมาณสำหรับของฟุ่มเฟือย เช่น กาแฟราคาแพง หรือเครื่องสำอาง
  • ซื้อของเฉพาะเมื่อของเก่าหมดหรือพังจริง ๆ
  • ให้เวลากับตัวเอง 24-48 ชั่วโมงก่อนตัดสินใจซื้อของราคาแพง

No-Buy คืออะไร?

No-Buy หมายถึงการไม่ซื้อของบางอย่างหรือหยุดใช้จ่ายในหมวดหมู่ที่ไม่จำเป็นเลย โดยอาจกำหนดช่วงเวลาที่แน่นอน เช่น 1 เดือน, 6 เดือน หรือ 1 ปี

ตัวอย่างแนวทาง No-Buy:

  • งดซื้อเสื้อผ้าใหม่เป็นเวลา 1 ปี
  • ไม่ซื้อของที่ไม่จำเป็น เช่น เกม หนังสือ หรือเครื่องสำอาง (ถ้ายังมีอยู่แล้ว)
  • งดสั่งอาหารเดลิเวอรีและทำอาหารเองที่บ้าน
  • งดจ่ายเงินสำหรับ Subscription ที่ไม่ได้ใช้บ่อย

ทำไมคนถึงสนใจเทรนด์นี้?

  1. ลดรายจ่ายและออมเงินได้มากขึ้น – หลายคนเริ่มเห็นว่าตัวเองเสียเงินไปกับของที่ไม่จำเป็นมากเกินไป
  2. ลดภาระหนี้สิน – ช่วยให้จัดการหนี้ได้ดีขึ้น
  3. ลดการบริโภคเกินจำเป็น – เป็นแนวคิดที่ช่วยลดของสะสมและสร้างไลฟ์สไตล์แบบมินิมอล
  4. ช่วยสิ่งแวดล้อม – ลดขยะจากการซื้อของที่ไม่ได้ใช้
  5. สร้างนิสัยการใช้จ่ายอย่างมีสติ – ฝึกให้ตัดสินใจก่อนซื้อและไม่ใช้เงินตามอารมณ์

pexels-thngocbich-1714341-2

แนวทาง No-Buy สำหรับสินค้าไอที

No-Buy เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหยุดใช้จ่ายในหมวดสินค้าไอทีไปเลยในช่วงเวลาหนึ่ง โดยสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ได้ เช่น

  1. ไม่ซื้ออุปกรณ์ใหม่ถ้าเครื่องเดิมยังใช้ได้ – หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนมือถือ/แล็ปท็อปเพียงเพราะมีรุ่นใหม่ออกมา
  2. งดซื้อ Gadget ที่ไม่จำเป็น – เช่น สมาร์ตวอทช์, หูฟังตัวใหม่, คีย์บอร์ดเมคานิค, จอมอนิเตอร์เพิ่ม ฯลฯ
  3. งดซื้อซอฟต์แวร์หรือ Subscription ที่ไม่จำเป็น – เลิกใช้บริการที่ไม่ได้จำเป็นที่ต้องใช้งานจริง หรือยกเลิก Video Streaming ถ้าแทบไม่ได้ดู
  4. ไม่ซื้อเกมหรือแอปใหม่จนกว่าจะเล่นของเก่าให้จบ
  5. ไม่อัปเกรดอุปกรณ์โดยไม่จำเป็น – เช่น เพิ่ม RAM หรือ SSD ก็ต่อเมื่อมีปัญหาจริง ๆ

แนวทาง Low-Buy สำหรับสินค้าไอที

Low-Buy จะเหมาะกับคนที่ต้องการลดการใช้จ่าย แต่ยังเปิดโอกาสให้ซื้อของบางอย่างได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด

  1. กำหนดรอบการอัปเกรดอุปกรณ์ – เช่น เปลี่ยนมือถือทุก 4 ปี แทนที่จะเปลี่ยนทุก 2 ปี
  2. วางงบประมาณ Gadget รายปี – เช่น อนุญาตให้ซื้ออุปกรณ์เสริมไม่เกิน 3,000 บาทต่อปี
  3. ใช้ของมือสองแทนของใหม่ – ถ้าจำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์ด้วยการซื้อสินค้ามือสองแทนการซื้อรุ่นใหม่
  4. เลือกซอฟต์แวร์แบบซื้อขาดแทน Subscription – เช่น ใช้ Affinity Photo แทน Photoshop ที่ต้องจ่ายรายเดือน
  5. ใช้ Open-Source แทนซอฟต์แวร์เสียเงิน – เช่น ใช้ LibreOffice แทน Microsoft Office
  6. รวม Subscription ให้คุ้มค่าที่สุด – เช่น แชร์บัญชี YouTube Premium กับครอบครัว หรือรวมบริการ Cloud Storage ให้เหลือแค่เจ้าที่จำเป็น


Low-Buy/No-Buy ไม่ได้เป็นเพียงแค่เทรนด์ แต่เป็นแนวทางที่ช่วยให้คนใช้เงินอย่างมีสติ ลดความฟุ่มเฟือย และโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ ในชีวิต


Photo by Photo By:
Kaboompics.com: pexels.com
Bich Tran: pexels.com

Post Views: 192