ชีวิตคนเราไม่ใช่สมการเส้นตรงที่เราจะรู้สึกว่าเวลาที่ผ่านไปในแต่ละช่วงของชีวิตเป็นไปด้วยสัดส่วนเท่ากันทั้งหมด เพราะการรับรู้เวลาและประสบการณ์เปลี่ยนแปลงไปตามอายุและบริบทของชีวิต
- การรับรู้เวลา
- ช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น: เวลารู้สึก "ยาวนาน" เพราะทุกอย่างใหม่หมด ประสบการณ์ในชีวิตหลากหลายและเต็มไปด้วยการเรียนรู้ ทำให้สมองบันทึกความทรงจำไว้อย่างละเอียดมาก
- ช่วงวัยกลางคนถึงวัยผู้ใหญ่: เวลารู้สึก "สั้นลง" เพราะเรามีรูปแบบชีวิตที่ค่อนข้างซ้ำๆ (Routine) ประสบการณ์ใหม่ๆ ลดลง ทำให้วันเวลาผ่านไปเหมือนเร็วขึ้น
- ช่วงสูงวัย: หลายคนอาจรู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวขึ้น เพราะสุขภาพหรือพลังงานที่ลดลงทำให้การใช้ชีวิตและการวางแผนมีข้อจำกัด
- ช่วงชีวิตที่ไม่สมดุล ช่วงของชีวิตที่อายุมากขึ้นดูเหมือนจะสั้นเพราะข้อจำกัดของร่างกายและเวลาเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่อยากทำ ช่วงวัยเด็กเรามีเวลาเหลือเฟือโดยไม่ต้องกังวลอะไร แต่พอถึงช่วงหลัง ชีวิตเหมือนถูกเร่งรัดด้วยความรู้สึกว่า "เวลาเหลือน้อยลง"
- ความรู้สึกเชิงจิตวิทยา มีทฤษฎีหนึ่งที่เรียกว่า "The Proportional Theory of Time" กล่าวว่าการรับรู้เวลาขึ้นอยู่กับสัดส่วนของเวลาที่ผ่านไปเทียบกับเวลาทั้งชีวิต เช่น สำหรับเด็กอายุ 10 ปี หนึ่งปีคือ 10% ของชีวิต แต่สำหรับคนอายุ 60 ปี หนึ่งปีคือแค่ 1.67% ของชีวิต ทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วขึ้น
- การตอบสนองต่อความไม่สมดุล
สิ่งที่สำคัญคือการ "ชะลอ" เวลาในเชิงความรู้สึก เช่น
- สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อให้สมองจดจำช่วงเวลาได้หลากหลาย
- ใช้ชีวิตแบบมีเป้าหมายและตั้งใจในทุกวัน
- ใช้เวลาอยู่กับคนที่คุณรักและสร้างความหมายให้กับทุกกิจกรรม
เราควรทำอย่างไรเพื่อให้ชีวิตในช่วงที่อายุมากขึ้นรู้สึก "เต็ม" และไม่เร่งรีบเกินไป
การนำสิ่งที่เราเติมเต็มในชีวิตออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น น่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่ทำให้เราไม่ต้องพยายามที่จะขวนขวายหาอะไรมาเติมเต็มเพิ่มเติมในชีวิตที่เข้าสู่ช่วงสูงวัย การนำสิ่งที่เราได้สั่งสมมาทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ประสบการณ์ หรือแม้แต่บทเรียนจากความล้มเหลว มาแบ่งปันให้ผู้อื่น ไม่เพียงช่วยเติมเต็มชีวิตของคนรอบตัว แต่ยังทำให้ชีวิตของเรารู้สึกมีคุณค่าและความหมายโดยไม่ต้องแสวงหาสิ่งใหม่เพิ่มเติมอีก
ข้อดีของการแบ่งปันในช่วงที่เรามีอายุมากขึ้น:
- สร้างความหมายให้กับชีวิต เมื่อเรารู้ว่าสิ่งที่เราเคยผ่านมาสามารถเป็นแรงบันดาลใจหรือช่วยเหลือคนอื่นได้ มันทำให้ชีวิตมี "เป้าหมาย" อีกครั้ง
- ส่งต่อคุณค่า การแบ่งปันความรู้หรือประสบการณ์ช่วยสร้างมรดกทางจิตวิญญาณที่คงอยู่ไปถึงคนรุ่นถัดไป ทำให้สิ่งที่เราทำไม่สูญเปล่า
- ความรู้สึกเชื่อมโยงกับคนอื่น การได้ช่วยเหลือหรือสร้างผลกระทบให้กับคนอื่นทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้ "อยู่คนเดียว" และยังมีบทบาทสำคัญในสังคม
- ลดความรู้สึกว่างเปล่า การได้เห็นคนอื่นเติบโตจากสิ่งที่เราแบ่งปัน ช่วยให้เรามีความสุขและภาคภูมิใจในตัวเอง ลดความกังวลเกี่ยวกับเวลาที่เหลืออยู่
วิธีนำสิ่งที่เรามีมาใช้ให้เกิดประโยชน์:
- การสอนหรือให้คำปรึกษา ใช้ประสบการณ์ของคุณช่วยชี้แนะคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะผ่านการสอน การเป็นที่ปรึกษา หรือแม้แต่การแบ่งปันประสบการณ์ผ่านบทความหรือสื่อออนไลน์
- สร้างโครงการเล็กๆ เพื่อสังคม ใช้ทักษะหรือความสามารถที่คุณมีเพื่อเริ่มโครงการที่ช่วยเหลือชุมชน เช่น การอบรม การสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้
- เขียนหนังสือหรือบันทึกความทรงจำ นำประสบการณ์ชีวิตของคุณมาเล่าเรื่องหรือสร้างเป็นหนังสือที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อคนรุ่นหลังและตัวคุณเอง
- ทำงานอาสาสมัคร ช่วยเหลือองค์กรหรือกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการให้คำแนะนำ หรือการสนับสนุนทางจิตใจ การทำแบบนี้ไม่เพียงช่วยให้ชีวิตมีความหมายในช่วงท้าย แต่ยังทำให้เรารู้สึกว่าความสุขในชีวิตนั้นมาจากการ "ให้" มากกว่าการ "รับ"
Photo by:
JÉSHOOTS: pexels.com
Pixabay: pexels.com